ปิดเทอมแล้ว !!!
ฮุเล ฮุเล ~
คำเตือน : ภาพเซ็ตนี้โนวฟิลเลอร์ หน้าสดค่ะ :P
วันแรก
ครั้งนี้ไปเที่ยวโดยที่ไม่ต้องขึ้นรถทัวร์ไปเอง
ยกระดับการเที่ยวขึ้นมาอีก 0.0000001 เปอร์เซ็น
ด้วยความโชคดีที่พ่อซิ่มไปพิจิตรพอดิบพอดี
เราเลยติดรถพ่อไปลงพิจิตรและเจอกับพี่จ่าพี่นะที่นู้นเลย
นั่งรถไปจากบางแสนก็เบียดกันเต็มที่ ตัวก็เล็กๆกันทั้งนั้นนนนน
ขอเล่าอะไรบางอย่างก่อนเริ่มเดินทางนะ
ผึ้งกับกุญแจหอและจักรยาน
นึกแล้วขำ 5555 เรืี่องมันมีงี้
ผึ้งปั่นจักรยานมาจอดทิ้งไว้ที่หอซิ่มระหว่างที่เราไปเที่ยว
ทุกคนเลยบอกให้ผึ้งเอากุญแจมาล็อคจักรยาน
แต่ผึ้งจะเอาจักยานไปฝากไว้บ้านตรงข้ามหอ
อิบ้านตรงข้ามหอซิ่มพวกเราไม่เคยรู้จักกันเลยสักนิด
ถ้าอยู่ดีๆผึ้งเอาจักรยานไปฝากเค้าคง งง อะไรแว๊
*เอียงคอมองขึ้น45องศาไปที่ผึ้ง*
แล้วถามว่าเรารู้จักกันเหรอประมาณนี้ 5555
พวกเราเลยบอกให้ผึ้งหากุญแจมาล็อค
ผึ้งดั๊นนนนนหากุญแจไม่เจอจ้าาาา
พวกเราก็ช่วยกันหา ผึ้งทั้งคุ้ย ทั้งรื้อกระเป๋าเป้ผึ้งก็แล้วแต่ก็ไม่เจอ
ระหว่างที่ผึ้งหากุญแจอยู่น้านนนนนน
เราได้ยินเสียงกรุ๊งกริ๊งๆ ของกุญแจ ตลอดเว
แต่ทำไมมันหาไม่เจอซะทีฟร่ะ
หาทุกซอกทุกมุมแล้วนะ!!!
และแล้วเราก็เจอกุญแจ
อยากรู้มั้ยคะว่ามันอยู่ไหน
ทำไมหาตั้งนานไม่เจอซ๊ากกกกที
แม่งงงงเสียเวลาหาโคตรนาน ผึ้งรนๆตามสไตล์ตั้งนาน
กุญแจของผึ้งมันอยู่ที่ๆลึกลับมาก คือกุญแจมันอยู่ที่....
กระเป๋ากางเกงที่ผึ้งใส่จ้าาาา
หน้าทุกนี่เงิบจ้าาา 5555555
ตอนเดินทาง
ตอนนั่งรถนี่นั่งหลังสุดกับอิปุ๊กอิปาล์ม อิสองคนนี้ก็คุยไป ร้องเพลงไปง่องแง่งกันสองคน
อินี่เล่นมุกไม่ไป และ มันร้องเพลงไรกัน กุไม่รู้จัก 55
ข้อข้ามการเดินทางส่วนนี้ไปถึงพิษณุโลกเลย
อารมณ์ดีกันสุดขีด นั่งรถท้าล้มท้าแดด
เล่นแฮมเบอร์เกอร์ กันตลอดทาง
พอเข้าเขตพิษณุโลก เจอโรงเรียนจ่านกร้อง เท่านั้นล่ะ
อิปาล์มก็ร้องทำนองเพลงรายการชิงช้าสวรรค์
ปุ๊กชีโชว์การกรียดกรายมือ ออกสเต็ปทันที
นึกถึงแล้วฮา แต่นี่ไม่รู้จะบรรยายยังไงดี

พระคู่บ้านคู่เมืองสองแคว เอาฤกษ์เอาชัยก่อน
วัดสวยมากกกกก ครั้งแรกที่ได้มาไหว้

ถามทำไมถึงใส่ผ้าถุง เล่นใส่ ขาสั้น กันไป เค้าไม่ให้เข้าจ้า
ต้องให้เกียรติสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ใสผ้าถุง เก๋ไปอีกแบบ
ขอถ่ายภาพรวมกันนึสนึง
แต่สังเกตุดีๆ ภาพรวมไม่เคยอยู่ครบองค์ ทั้งๆที่มีคนถ่ายรูปให้
พอยหายบ้าง ซิ่มหายบ้าง ผึ้งหายบ้าง

ชี ไป ขี้ จ้า 5555
.
.
พักกินข้าวกันแบบง่ายๆ กินข้าวแกงริมทาง
แล้วไปต่อที่น้ำตกแก่งโสภา

น้ำตกที่มีแต่หินแบบใหญ่โคตร กว้างมาก
ก็สวยนะ แต่ไม่น่าเล่นน้ำเลย มีต้นไม้เขียวๆ บ้าง
มองไปทางไหนก็เจอแต่ หิน !!
ไม่น่าเล่นน้ำเลย

แค่เดินเอาเท้าแช่น้ำพอล่ะ
ก่อนถ่ายรูปนี้มันมีเรื่องว่า ผึ้งชวนให้ทุกคนเดินลงไปไหนน้ำ ให้เดินตามผึ้งไปไกลๆ
ผึ้งบอกว่าตามเค้ามาเลย น้ำไม่ถึง พอสักพัก
ผึ้งลื่น จ้า 555

เจอผีเสื้อสีสวยๆ เยอะเลยแหละที่น้ำตกนี้
ออกเดินทางไปที่พักใน อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง
ระหว่างทางฝนตกหนักมาก ต้องแวะหลบฝนที่ศาลาริมทาง
ไม่อย่างงั้นตัวเปียกโชกแน่ๆ
กว่าจะถึงทุ่งแสลงหลวงก็เย็นพอดี
ได้เวลาอาหารเย็น พี่พาขับรถไปร้านข้าวที่เขาค้อ
ขับรถผ่านแว๊บๆ ร้านนี้ วิวสวยดี กินแม่งร้านนี้แหละ
ดูรูปดิ โหหหหห วิว สวยจริงๆ

ชุดเขียวพาร์สเทล ปากกลบด้วยลิปสีนู้ด
เราก็สั่งกันง่ายๆ ข้าวผัด ข้าวผัดกะเพรา
ขอบอก อาหารร้านนี้เด็ดไม่รู้ลืม ใครผ่านมาแถวนี้ต้องมาโดน
ข้าวผัด ไม่ใส่ไข่ หมู 3 ชิ้น ผักคะน้า 3 ท่อน
ข้าวปริมาณ 1 ถ้วย (ถ้วยน้ำจิ้มเล็กๆ)
ผัดแบบพิเศษเฉพาะโดย ไม่ใส่น้ำปลา
รสชาติคือ จืด สนิท ตูยังไม่ละกิเลสค่ะ
ยังหลงในรสชาติอยู่ค่ะ
อิพวกนี้กิน 1 คำ ก็ เติมน้ำปลาไป
อิห่านนนนนน น้ำปลาจะหมดถ้วยแล้วววว !!!
ยังไม่มีความเค็มเลย ดวกกกกก
ถามว่าอิพวกนี้จะอิ่มมั้ยกับอาหารมื้อนี้ ???
ไม่!!!
ใครผ่านไปแถวนี้อย่าได้กินร้านนี้เด็ดขาด
ดอกจันตรงนี้ซัก 20 ดอก
ต้องซื้อของร้านข้างทางไปกินที่ที่พัก
อร่อยกว่ากินของร้านวิวสวยอีก อิร้านดวกกกกกกก
ในที่พักมีกวางเข้ามากินหญ้าด้วย ธรมมชาติสุดไรสุด
มีคนเที่ยวด้วยกัน เค้าเอารถไปส่องกวางตอนกลางคืน
อิพวกนี้ก็พยายามเรียกร้องให้เค้าชวนไปด้วย จนสำเร็จ
ผ่านพ้นไป 1 วัน
.
.
วันที่สอง
ตื่นแต่เช้า เพื่อจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพร
รอดูพระอาทิตย์ตั้งแต่ฟ้ายังมืดๆ จนเริ่มเห็นแสงอาทิตย์
รอจนแล้วจนเล่า

เราก็สมใจ ไม่เห็นพระอาทิตย์
หมองบังพระอาทิตย์หมด 55

จุดชมชมพระอาทิตย์ อุทยานเค้าก็ทำที่อย่างดีให้เราดูพระอาทิตย์ได้ชัดๆ
แต่โชคไม่เข้าข้างเลยไม่ได้ดูพระอาทิตย์ขึ้น
ต้นไม้ที่เห็นเยอะที่สุดบนทุ่งแสลงหลวงคงเป็น ต้นสน


อินี่แต่งตัวดูจัดเต็มไปมั้ย คือ นี่ทุ่งแสลงหลวง
ไม่ใช่โซลยามหน้าหนาว 555

น้ำค้าง หมอกลงหนามาก
ทั้งในป่ากับในอุทยานที่เราพัก

ที่นี่มีต้นแสลงใจขึ้นอยู่เยอะ จึงเป็นที่มาชองชื่อทุ่งแสลงหลวง
แต่ที่ตั้งว่าทุ่งแสลงหลวง
คงอาจดูเพราะกว่าแสลงใจ (นี่คิดเอง 55)
.
.
พอสายๆ เที่ยงๆ บ่ายๆ เคลื่อนพลไป ภูหินร่องกล้า
ตามรอยนักศึกษาที่หนีเข้าป่า ยุคพฤษภาทมิฬ
เดินเท้าเข้าไปตามทาง ซึ่งไกลพอสมควร

แต่ก่อนจะมีคนตายมากน้อยเท่าไหร่เนี้ยะ
สถานที่ในประวัติศาสตร์ มันต้องมีอยู่แล้วแหละ
แอบกลัวค่ะ

การถ่ายรูปที่ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ต้องโพสแบบนี้คือ
การนอนบนพื้นเอาหัวชนกันเป็นวงกลม

แต่อิพวกนี้ช่วยดูสภาพพื้นที่จะนอนกันด้วย
เป็นปุ่มๆ ก้อนๆ เต็มไปหมด
แต่ก็ยังจะอุตส่าห์ถ่าย 555
มาถึงแล้วนะลานหินปุ่ม เย้
.
.
เดินต่อจากลานหินปุ่มก็มาถึง ผาชูธง

เห็นธงชาติไทยตั้งโดดเด่นเป็นสง่าอยู่
ชมวิที่ผาชูธงเสร็จก็เดินกลับ
รวมๆแล้วเดินหลายกิโลอยู่เหมือนกัน

ออกมาเหนื่อยจ้า ขอนั่งพักกินน้ำ แป๋บ
ขึ้นรถไปที่หมู่บ้านนักศึกษาที่มาอยู่ที่นี้กันตอนหนีรัฐบาลมาอยู่ป่า
สมัยยุตพฤษภาทมิฬ
บริเวณนี้จะมีบ้านปลูกเป็นหลังๆ ในป่า
มีกังหันน้ำสำหรับเอาน้ำมากินมาใช้
ไม่ได้ถ่ายรูปตรงนี้ไว้ไง - -"
วันนี้เวลาเหลือเอาไงดี
นี่ก็อ่านเจอมาว่าใกล้ๆที่พักมันมีหมู่บ้านสวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย
อินี่อยากไป พี่ๆก็พาไป
ขับรถนานล่ะ ไม่ถึงซะที อากาศก็หนาว
ใกล้มืด ขับรถไปเรื่อยไปจนถึงภูทับเบิกโดยไม่ตั้งใจ

ภูทับเบิกคือที่ไหน ?
คือภูเขาที่ปลูกกะหล่ำปลีมากที่สุดในประเทศไทยจ้า
ไปถึงอากาศ 16 องศา อินี่ไปเสื้อแขนกุดกับเสื้อกันหนาวบางๆ
55555
กว่าจะกลับก็มืดมาก อิป้าขายมันเผาก็บิ๊วท์จ๊างงงงงงงงงง
ป้าก็พยายามพรีเซ็นท์เรื่องลี้ลับไง
บอกว่าเคยเป็นสนามรบมากก่อนงี้ ถามว่าพวกนี่กลัวมั้ย
กลัวค่ะ !!!
อินี่ไม่กล้านั่งหลังกะบะหลังเลยขอย้ายตัวเองไปนั่งข้างหน้า - -"
นี่รักเพื่อนมาก เสียสละปล่อยให้เพื่อนหลังกะบะเจอเรื่องลี้ลับกันไป
แต่เราก็ถึงที่พักโดยสวัสดิภาพ
.
.
.
วันที่สาม
วันนี้จะต้องกลับแล้ว
ก่อนกลับแวะไปลานหินแตก

ก่อนกลับมีชาวเขามาขายดอกกระดาษ
พรีเซ็นต์สรรพคุณของดอกนี้นี่นั่นนู่น
บอกดอกนี้สีจะไม่ซีด จะอยู่แบบนี้ไปนาน
สีดอกไม้มันสวยจริงๆ จนต้องควักเงินซื้อ
555
จบแล้ว ความทรงจำอาจมีตกๆหล่นๆบ้างไรบ้าง
:) :) :)
